23 September 2019
Study atmosphere
EF หรือ Executive Functions จะประกอบด้วย ทักษะ 9 ด้าน คือ
กลุ่มทักษะพื้นฐาน
1. Working memory = ความจำที่นำมาใช้งาน หรือ
ความสามารถในการเก็บประมวล
และดึงข้อมูลที่เก็บในคลังสมองออกมาใช้ตามสถานการณ์ที่ต้องการ
2. Inhibitory Control = ความสามารถในการยั้งคิดไตร่ตรองควบคุมแรงอยาก
หยุดคิดก่อนที่จะทำหรือพูด
3. Shiftingหรือ Cognitive Flexibility = ความสามารถในการยืดหยุ่น พลิกแพลง
ปรับตัว เป็นจุดตั้งต้นของการคิดนอกกรอบ คิดสร้างสรรค์
กลุ่มทักษะกำกับตนเอง
4. Focus Attention = ความสามารถในการใส่ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งๆ
โดยไม่วอกแวก
5. Emotional Control = ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
จัดการกับอารมณ์ไม่ให้รบกวนผู้อื่น ไม่โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียว ขี้หงุดหงิดง่าย จัดการกับความเครียดความเหงาได้
มีอารมณ์มั่นคง และแสดงออกแบบที่ไม่รบกวนผู้อื่น
6. Self-Monitoring = คือ
การประเมินตนเองรวมถึงสะท้อนผลการทำงาน เพื่อหาจุดบกพร่อง แล้วแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้น
การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ เริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวม
จัดลำดับความสำคัญ จัดระบบโครงสร้าง จนถึงการแตกเป้าหมาย ให้เป็นขั้นตอน
รวมถึงรู้ตัวว่า กำลังทำอะไร ได้ผลอย่างไร
กลุ่มทักษะปฏิบัติ
7. Initiating = ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำ
กล้าคิดกล้าทำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
8. Planning and Organizing = การวางแผนและดำเนินการตั้งแต่ตั้งเป้าหมาย
เห็นภาพรวม จัดลำดับความสำคัญ จัดระบบ จนถึงการดำเนินการ และประเมินผล
9. Goal- Directed Persistence = ความพากเพียรให้บรรลุเป้าหมายมุ่งมั่น
ฝ่าฟันอุปสรรคและล้มแล้วลุกได้ เมื่อตั้งใจและลงมือทำแล้ว มีความมุ่งมั่นบากบั่นไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ
ก็พร้อมฝ่าฟันจนถึงความสำเร็จ
ทักษะเหล่านี้ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน
ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เพื่อให้เกิดการ “ฝังชิป” เป็นโครงสร้างในสมองของเด็ก
โดยเฉพาะในวัย 3-6 ปี ซึ่งเมื่อฝังตัวแล้วก็จะคงอยู่เป็นนิสัยหรือคุณสมบัติของบุคคลไปตลอดชีวิต
การดูแลลูกที่ถูกต้องในวัยที่สำคัญ
เป็นการพัฒนาคนให้เป็นคนที่มีคุณภาพ
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น
Inhibitory Control หัดให้ลูกรอ ไม่ใช่ว่าลูกอยากได้อะไร
ต้องได้เดี๋ยวนั้น ตอนนั้น
Shift/Cognitive Flexibility ฝึกให้ลูกรู้จักยืดหยุ่นเมื่อผิดหวัง
เช่น ลูกอยากกินแอปเปิ้ล แต่ไม่มี ก็จะถามลูกว่าเปลี่ยนเป็นองุ่น หรือ
ส้มแทนได้มั้ย
Focus/Attention ฝึกและให้เวลาลูกเล่นในสิ่งที่ชอบให้ได้ช่วงระยะเวลานึง
อ๊อตโต้ชอบเล่น Lego เค้าจะสามารถนั่งต่อได้คนเดียวเป็นเวลานานเลยทีเดียว
ถือว่าฝึกสมาธิไปในตัว
Initiating ตั้งเป้าหมายและให้ลงมือทำ เช่น
วันนี้จะล้างรถ + รดน้ำต้นไม้ ก็ต้องฝึกให้เค้าทำตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ด้วย
Planning/Organizing อันนี้ฝึกง่ายเลย เวลาทำขนมกับลูก
บุ๊งมักจะแพลนว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง เวลาเราแพลน ก็บอกลูกไปด้วยว่า
ก่อนจะต้มน้ำเชื่อม ต้องตอกไข่ก่อน แยกไข่แดงออกจากไข่ขาวให้เรียบร้อย
แล้วค่อยต้มน้ำ เป็นต้น
การศึกษาวอลดอร์ฟ
หลักสูตรการเรียนการสอนได้ถูกออกแบบให้ตรงกับความต้องการของเด็กในแต่ละช่วงวัยเพื่อตอบสนองพัฒนาการ
ของเขา ครูมีอิสระในการทำงานภายใต้แนวทางนี้ที่จะนำ
เสนอวิธีการสอนโดยใช้สื่อการสอนในรูปแบบของตัวเอง
เพื่อตอบสนองเป้าหมายที่กระตุ้นให้เด็กเกิดความกระตือ- รือร้นในการเรียน
ส่งเสริมให้เขาค้นพบและเรียนรู้ด้วยตัว เองและด้วยวิธีการนี้เด็กๆ
จะได้รับการศึกษาผ่าน มือ หัวใจ และสมอง (3 Hs = Hands, Heart, Head)
ด้วยความสามารถจากการลงมือทำ การสัมผัสด้วยใจ
และการใช้ศักยภาพในการคิด
งานหลักของโรงเรียนวอลดอร์ฟ คือ
การเตรียมการศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้แก่นักเรียน
ไม่เพียงแค่เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ แต่มีอิสระจากภายใน มีความมั่นคง
และเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสร้างสรรค์
หลักสูตรและวิธีการสอน
การศึกษาวอลดอร์ฟ
จะเริ่มการเรียนรู้อย่างเป็นรูปแบบเมื่อเด็กอายุ 6
หรือ 7 ปี ก่อนหน้านั้นเด็กๆ จะอยู่ในชั้นอนุบาล
วัยอนุบาล
จะเน้นการปลูกฝังและให้ความสำคัญในเรื่องความดี เด็กๆ
จะถูกกระตุ้นและส่งเสริมให้คิดดีทำดี และในช่วงวัยนี้เด็ก เป็นยอดนักเลียนแบบ
พวกเขาดูดซับสิ่งต่างๆ รอบตัวดังฟองน้ำ
ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีที่อยู่ในสภาพแวดล้อมซึ่งจะเป็นบทบาทที่สำคัญในการพัฒนาตัวเขาในอนาคต
ในชั้นเรียนอนุบาลจะให้ความสำคัญกับการมีตัวอย่างที่ดีให้เด็กได้เลียนแบบ
และแวดล้อมด้วยสิ่งที่สวยงามเพื่อให้เขาซึมซับ ห้องเรียนจะมีแสงที่อ่อนโยน
พร้อมด้วยเครื่องเรือนไม้แบบง่ายๆ ของเล่นจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ลูกสน เปลือกหอย
ตุ๊กตาทำมือ และผ้าคลุมหลากสี
จะช่วยให้เด็กได้พักประสาทสัมผัสที่ถูกกระตุ้นจากโลกภายนอก
และจากการเล่นของเล่นธรรมชาติเหล่านี้ เด็กๆ
ซึ่งยังอยู่ในสภาวะกึ่งฝันจะเริ่มรู้สึกตัวและซาบซึ้งต่อความงามในธรรมชาติ
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเล่นของเล่น “ที่ไม่สมบูรณ์” เช่น ตุ๊กตาทำมือซึ่งมีเพียงส่วนประกอบหลักๆ มีส่วนสำคัญที่จะช่วยในการพัฒนาจินตนาการให้แข็งแรง เช่นเดียวกับกระดาษแข็งจากกล่องเก่าๆที่สามารถเล่นได้เป็นชั่วโมงๆโดยการใช้เจตจำนงด้านจินตนาการอย่างเต็มที่ เด็กๆจะเปลี่ยนลูกสนเป็นเงิน ขนมปัง หรือ เศษไม้ หรือ อะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการในการเล่นนั้นๆ แนวทางของสไตเนอร์มีความแตกต่างจากกระแสที่แพร่หลายอยู่ในปัจจุบันที่มักให้ของเล่นสำเร็จรูปแก่เด็ก ของเล่นสำเร็จรูปที่หาได้ทั่วไปเหล่านี้จะไม่มีพื้นที่สำหรับเด็กในการพัฒนาจินตนาการเลย
การจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร (Cooking)
สำหรับ เด็กปฐมวัย
การจัดกิจกรรมการประกอบอาหารสำหรับเด็กปฐมวัย
หรือที่เรียกว่า “ Cooking ” เป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงและเรียนรู้การทำงานอย่างเป็นกระบวนการผ่านการทำอาหาร
ช่วยให้เด็กรู้จักวางแผนในการจัดเตรียมวัตถุดิบที่หลากหลาย
โดยเน้นการใช้กล้ามเนื้อมือและนิ้วมือในการลงมือปฏิบัติจริง
จากการทำกิจกรรมประกอบอาหารตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย
ตลอดจนได้เรียนรู้และรู้จักอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการประกอบอาหาร
ช่วยให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดและพัฒนาทักษะอย่างสมดุล
ทั้งยังปลูกฝังให้เด็กมีพฤติกรรมด้านสุขอนามัย และโภชนาการที่ดีอีกด้วย
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร
ในการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น
คุณครูและผู้ปกครองสามารถกำหนดเป็นขั้นตอนอย่างง่าย
ดังตัวอย่างที่ผู้เขียนกำหนดเป็น 3
ขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นนำ
เด็กช่วยคิดหาเมนูอาหารที่สนใจร่วมกับคุณครูหรือผู้ปกครอง
และสนทนาเกี่ยวกับวัตถุดิบ ส่วนผสม และอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหาร
ว่ามีอะไรบ้าง
2. ขั้นปฏิบัติ
เมื่อเด็กได้จัดเตรียมวัตถุดิบและส่วนผสมที่จะนำมาปรุงอาหารในเมนูที่คิดแล้ว
ให้ช่วยกันล้าง หั่น และปรุงสุก ทั้งนี้ ก่อนการประกอบอาหาร
ให้คุณครูและผู้ปกครองแนะนำขั้นตอนในการทำอาหาร
พร้อมทั้งแนะนำวิธีการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้กับเด็ก
เพื่อความปลอดภัยทุกครั้งที่ทำกิจกรรมด้วยค่ะ
3. ขั้นสรุป
เมื่อเด็กทำการประกอบอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ให้เด็กเล่าประสบการณ์การทำงานและขั้นตอนการทำงานว่าทำอย่างไร
แล้วช่วยกันสรุปว่าเมนูที่ทำนั้นมีสีสัน กลิ่น รสชาติ เป็นอย่างไร
ส่วนผสมและเครื่องปรุงใส่อะไรไปเท่าไหร่
รวมทั้งเครื่องปรุงแต่ละชนิดมีรสชาติเป็นอย่างไร เป็นต้น
ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร
กิจกรรมการประกอบอาหาร หรือกิจกรรม Cooking
เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน
สร้างความตื่นเต้นและเป็นสิ่งเร้าในการจัดการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเป็นอย่างมาก
การจัดกิจกรรมนี้ จะไม่เน้นในผลงานของอาหารที่ทำสำเร็จ
แต่อยู่ที่กระบวนการและขั้นตอนในการทำกิจกรรมเป็นสำคัญ
ซึ่งมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็ก ดังนี้
1.ส่งเสริมทักษะด้านร่างกาย
การที่เด็กได้หั่นผัก หั่นผลไม้
ตักเกลือหรือน้ำตาลใส่ลงในหม้อ เทเครื่องปรุงและส่วนผสมลงไปในกระทะ
การปั้นแป้งทำขนมหรือแม้กระทั้งการล้างผักหรือล้างอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น
ล้วนเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กให้กับเด็ก
นอกจากนี้ยังช่วยฝึกในเรื่องการประสานสัมพันธ์มือและตาของเด็กให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ
2.ส่งเสริมทักษะด้านอารมณ์
เด็กจะได้ฝึกการควบคุมอารมณ์และรอคอย เช่น
เด็กบางคนใจร้อน อยากให้อาหารสุกเร็ว ๆ แต่ถ้าเอาอาหารออกจากเตาก่อนเวลา
ก็จะได้กินอาหารที่ไม่สุก เป็นการให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง
ว่าทำไมต้องรอ
ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ที่ดีและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
3.ส่งเสริมทักษะด้านสังคม
เด็กจะได้รับการพัฒนาทักษะทางสังคม
ผ่านการทำงานร่วมกับผู้อื่นหรือการทำงานเป็นกลุ่ม ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
พัฒนาการสื่อสารระหว่างกัน เด็ก ๆ
จะได้วางแผนและรู้จักการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ มีการแบ่งปัน มีน้ำใจ
ช่วยเหลือและมีพฤติกรรมการเอื้อเฟื้อ มีความรับผิดชอบ
รู้จักการปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม ซึ่งสิ่งเหล่านี้
จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเองอีกด้วยค่ะ
4.ส่งเสริมทักษะด้านภาษา
เด็กจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากวัตถุดิบ
อุปกรณ์ และส่วนผสมที่นำมาใช้ในการประกอบอาหาร เช่น ถ้วย ชาม กระทะ เตาอบ ผักกาด
แครอท น้ำปลา น้ำตาล เป็นต้น นอกจากนี้เด็ก ๆ ยังได้พัฒนาทักษะการพูดและการฟัง
ผ่านการพูดคุยสนทนาตอบโต้กับคุณครูหรือผู้ปกครอง และเพื่อน ๆ
หรือการแสดงความคิดเห็นในระหว่างการทำกิจกรรม Cooking
5.ส่งเสริมทักษะด้านวิทยาศาสตร์
เด็กจะได้เรียนรู้และสังเกตดูการเปลี่ยนแปลงของวัตถุดิบ
เมื่อนำมาปรุงจนสุกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ เช่น เกลือ
น้ำตาล น้ำปลา ฯลฯ ถ้าใส่มากจะมีรสชาติอย่างไร ใส่น้อยจะมีรสชาติอย่างไร นอกจากนี้
ยังได้ฝึกฝนทักษะการเปรียนเทียบ การจำแนกประเภท
การจัดกลุ่มของวัตถุดิบและส่วนผสมที่ใช้ในการประกอบอาหาร
6.ส่งเสริมทักษะด้านคณิตศาสตร์
เด็กจะได้เรียนรู้ทักษะด้านคณิตศาสตร์
จากการชั่ง ตวง วัดเครื่องปรุง และส่วนผสมต่าง ๆ การเรียงลำดับ การนับจำนวน
และการกะปริมาณ
7.ส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
การให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดจานอาหาร
เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางผัก
การราดซอสและการจัดเรียงผลไม้ นอกจากนี้การให้เด็ก ๆ
ได้มีส่วนร่วมในการเลือกเมนูอาหาร
ก็ถือเป็นการกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กอีกด้วยค่ะ
8.ช่วยกระตุ้นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
กิจกรรมการประกอบอาหาร
จะช่วยกระตุ้นการใช้ประสาทสัมผัสของเด็กได้เป็นอย่างดี เช่น
“ตา”
มองเห็นวัตถุดิบและส่วนผสมต่าง ๆ “มือ” ได้สัมผัสผิวของวัตถุดิบ ผักและผลไม้ต่าง ๆ
ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
“หู” ฟังคำสั่งและคำแนะนำจากคุณครูหรือผู้ปกครอง
ว่าขั้นตอนถัดไปคืออะไร ต้องทำอะไรต่อ เสียงสับหมู เสียงเครื่องครัวทำงาน
“จมูก”
ได้กลิ่นของอาหาร กลิ่นของเครื่องปรุงต่าง ๆ
“ปาก” ชิมรสชาติของวัตถุดิบ เช่น
เกลือมีรสเค็ม น้ำตาลมีรสหวาน หรือชิมเพื่อรู้ว่าอาหารที่ทำมีรสชาติอย่างไร
ต้องเติมรสชาติไหนจึงจะได้รสอย่างที่ต้องการ
9.ช่วยสร้างสุขนิสัย สุขอนามัย และโภชนาการ
เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการและอาหารหลัก
5 หมู่ เช่น การทำผัดผักรวม
เด็กจะเรียนรู้ว่าผักมีประโยชน์ให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ
เนื้อหมูให้สารอาหารประเภทโปรตีน และไขมัน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังช่วยสอนให้เด็กเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์
และช่วยปลูกฝังทัศนคติที่ดีต่อการรับประทานอาหารให้กับเด็ก
การจัดกิจกรรมการประกอบอาหารนอกจากจะช่วยส่งเสริมทักษะด้านต่าง
ๆ ให้กับเด็กแล้ว ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความคิดรวบยอด ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากรูปธรรม
ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีและเหมาะสมตามวัย
กระบวนการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยนั้น เกิดได้จากสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของเด็กเป็นหลัก ดังนั้น การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การเรียนรู้โดยการให้เด็กลงมือปฏิบัติจริง (การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง) ทั้งนี้ คุณครูหรือผู้ปกครองควรเป็นผู้จัดหากิจกรรมที่เหมาะสมให้กับเด็ก ด้วยการเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำและรับประสบการณ์ที่หลากหลายด้วยตัวเด็กเอง จะช่วยพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของเด็กให้มากขึ้น
ประเมินตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อยและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
ประเมินเพื่อน : เพื่อนตั้วใจเรียนดีค่ะ
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์ยกตัวอย่างให้นักศึกาาเข้าใจง่าย และสนุกในการตอบคำถามค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น